August 17, 2025
Admin Cogistics Co.,Ltduser_icon

เจาะลึกระบบ Just In Time (JIT) กลยุทธ์ลดต้นทุนคลังสินค้าในภาคอุตสาหกรรมอาหาร

เจาะลึกระบบ Just In Time (JIT) กลยุทธ์ลดต้นทุนคลังสินค้าในภาคอุตสาหกรรมอาหาร

การบริหารจัดการต้นทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าและคลังวัตถุดิบที่ใช้ผลิต ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงและส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินสด ดังนั้นจึงผู้ประกอบการหลาย ๆ ที่จึงมีการนำเอากลยุทธ์และแนวคิดมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งมีหนึ่งแนวคิดที่เป็นที่รู้จักนั่นคือ “ระบบ Just In Time (JIT)” หรือที่เรียกว่า “ระบบทันเวลาพอดี” ซึ่งเป็นระบบการจัดการสินค้าคงคลัง โดยมีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้นการผลิตและส่งมอบสินค้าในเวลาที่ต้องการและปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อเป้าหมายสำคัญในการควบคุมวัสดุคงคลังให้เหลือน้อยที่สุด ลดสินค้าคงค้างในสต็อก และลดความสูญเปล่าหรือของเสียในกระบวนการผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย

 

ระบบ Just In Time (JIT) คืออะไร?

ระบบ Just In Time (JIT) คืออะไร?

Just In Time (JIT) หรือระบบทันเวลาพอดี คือ แนวคิดการบริหารจัดการการผลิตและคลังสินค้าที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าหรือการจัดหาวัตถุดิบในปริมาณที่เหมาะสม ตรงตามเวลา และตามความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคหรือตามแผนการผลิตที่กำหนดไว้ เพื่อลดความสูญเปล่า (Waste) ทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ลดการจัดเก็บสต็อกที่เกินความจำเป็นหรือลดปริมาณสินค้าคงคลังให้เหลือน้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์

โดยแนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตแบบสายพาน ก่อนจะแพร่หลายสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้านั่นเอง

วัตถุประสงค์ของระบบ Just In Time

เป้าหมายของระบบ Just In Time คือ การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต โดยการควบคุมคลังสินค้าให้เหลือน้อยที่สุดหรือให้เท่ากับศูนย์ (Zero Inventory) เพื่อลดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต รวมถึงลดต้นทุนในการสต็อกสินค้า และมุ่งเน้นการกำจัดความสูญเปล่าในการผลิต (7 Wastes of Lean) ได้แก่

  • การผลิตมากเกินไป (Overproduction): การผลิตสินค้ามากเกินความต้องการหรือผลิตไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน
  • การรอคอย (Waiting): การรอคอยวัตถุดิบหรือข้อมูล จนทำให้เสียเวลาหรือการผลิตหยุดนิ่งโดยเปล่าประโยชน์
  • การขนส่ง (Transportation): การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบหรือสินค้าเกินความจำเป็น จนเกิดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และเพิ่มความเสี่ยงในการสูญหาย
  • กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ (Processing Itself): ขั้นตอนการผลิตที่ไม่มีความจำเป็น หรือทำงานซ้ำซ้อนจนทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย
  • การเก็บวัสดุหรือสินค้าคงคลัง (Inventory): การสต็อกวัตถุดิบหรือสินค้าจำนวนมากเกินความต้องการ ทำให้ต้องใช้พื้นที่และมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ
  • การเคลื่อนไหว (Motion): การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของพนักงาน ทำให้พนักงานเหนื่อยล้าและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • การผลิตของเสีย (Making Defect): วัตถุดิบและข้อมูลที่ไม่ได้มาตรฐาน จนทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพหรือมีตำหนิ ซึ่งต้องนำไปทิ้งหรือแก้ไข จนเสียเวลา ทรัพยากร และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ข้อดีของระบบ Just In Time

  • ลดต้นทุนคลังวัตถุดิบหรือคลังสินค้า: ระบบ JIT ช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องเก็บสต็อกวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปในปริมาณมากเกินความต้องการ ทำให้ลดค่าใช้จ่าย ต้นทุน และพื้นที่ในการจัดเก็บ รวมถึงลดความเสี่ยงที่วัตถุดิบหรือสินค้าหมดอายุก่อนเวลา
  • เพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมการผลิตได้ดียิ่งขึ้น: การบริหารจัดการการผลิตมีความคล่องตัวมากขึ้น ทำให้สามารถควบคุมหรือปรับเปลี่ยนการผลิตได้อย่างยืดหยุ่นให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด รวมถึงทำให้การผลิตมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
  • ลดการสูญเสียวัตถุดิบหรือสินค้า: การจัดหาวัตถุดิบตามความต้องการในการผลิตของระบบ Just In Time จะช่วยลดโอกาสสูญเสียวัตถุดิบ หรือวัตถุดิบหมดอายุก่อนนำมาใช้งาน หรือลดทอนคุณภาพและสดใหม่ของสินค้าจากการจัดเก็บไว้นานเกินไป
  • ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด: ระบบทันเวลาพอดี (JIT) ช่วยให้ธุรกิจสามารถผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และปรับตัวต่อความต้องการตลาดได้อย่างรวดเร็ว

ข้อจำกัดของระบบ Just In Time

  • คุณภาพวัตถุดิบไม่แน่นอน: ปัญหาวัตถุดิบไม่มีคุณภาพ หากสั่งซื้อวัตถุดิบให้มีปริมาณเท่ากับที่ต้องการผลิตตามระบบ Just In Time อาจทำให้วัตถุดิบที่ได้คุณภาพมีจำนวนไม่มากพอหรือมีวัตถุดิบสำรองไม่เพียงพอต่อการผลิต
  • สินค้าเสี่ยงขาดตลาด: การผลิตแบบ Just In Time อาจไม่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการของตลาดไม่แน่นอนหรือผันผวนสูง หากความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันการผลิตอาจไม่สามารถรองรับได้ทัน จนทำให้สูญเสียโอกาสในการขายได้นั่นเอง
  • ปัญหาการส่งมอบวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์: ผู้ผลิตวัตถุดิบหรือซัพพลายเออร์อาจส่งมอบวัตถุดิบได้ไม่ทันเวลา จนทำให้การผลิตหยุดชะงักและไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้
  • ปัญหาการสื่อสารภายในองค์กร: ความผิดพลาดจากการแบ่งปันข้อมูลภายในหรือการสื่อสารที่ผิดพลาดจนเกิดความขัดแย้ง เช่น การไม่มีสินค้าคงคลังสำรอง หรือพนักงานต้องหยุดปฏิบัติงาน อาจทำให้การผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการได้

การประยุกต์ใช้ระบบ Just In Time ในอุตสาหกรรมอาหาร

การประยุกต์ใช้ระบบ Just In Time ในอุตสาหกรรมอาหาร

การนำระบบ Just In Time (JIT) มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่วนใหญ่วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผักผลไม้ หรืออาหารแปรรูปที่มีอายุการเก็บรักษาจำกัด ซึ่งหากเก็บไว้นานเกินไปย่อมทำให้เสื่อมสภาพและหมดอายุก่อนนำมาใช้ในการผลิตสินค้าจนเกิดของเสียและต้นทุนที่มากขึ้นตามมา

ดังนั้นการนำระบบทันเวลาพอดี (Just In Time) มาใช้จึงมีความสำคัญที่ช่วยให้วัตถุดิบที่จัดหามาใช้ “เท่าที่จำเป็น” และ “ทันเวลาที่ต้องใช้” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านคลังวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังช่วยกำจัดความสูญเปล่าและลดการเก็บสต็อกสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็นซึ่งเป็นต้นทุนที่ธุรกิจต้องแบกรับ รวมถึงส่งผลโดยตรงต่อสินค้าที่ได้คุณภาพและความสดใหม่ที่ส่งต่อไปยังผู้บริโภค

เพราะฉะนั้นแล้วธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารที่นำระบบ JIT มาประยุกต์ใช้จึงเริ่มจากการปรับการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค โดยการนำข้อมูลยอดขายหรือคำสั่งซื้อในอดีตและคาดการณ์ในอนาคตมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดปริมาณวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละรอบ เพื่อให้โรงงานผลิตอาหารสามารถผลิตสินค้าได้ตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ และลดการผลิตสินค้าที่มากเกินความจำเป็นนั่นเอง

ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการนำระบบ Just In Time มาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจเท่านั้น แต่รวมถึงช่วยลดของเสีย (Waste Reduction) และมีส่วนช่วยในการรักษามาตรฐานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาจากการได้รับวัตถุดิบสดใหม่เมื่อต้องการผลิต และในขณะเดียวกันก็ช่วยลดโอกาสที่ผลผลิตจะเน่าเสียจากการเก็บไว้นานเกินไปในคลังสินค้าอีกด้วย

 

“Cogistics” ผู้เชี่ยวชาญ Supply Chain สำหรับภาคอุตสาหกรรมอาหาร

เมื่อพูดถึงการประยุกต์ใช้ระบบ Just In Time (JIT) ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร สิ่งสำคัญที่ธุรกิจไม่อาจละเลยได้คือการมีพันธมิตรด้าน “Supply Chain (ห่วงโซ่อุปทาน)” ที่เข้าใจและเชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบเป็นอย่างดีในการบริหารจัดการวัตถุดิบให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และส่งมอบสู่โรงงานอย่างตรงเวลา

Cogistics” เราคือผู้เชี่ยวชาญผู้ให้บริการด้าน Supply Chain Management สำหรับการจัดหาวัตถุดิบประเภทผักและผลไม้มากกว่า 100 ชนิดที่ใช้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมอาหาร สำหรับโรงงานผลิตอาหาร ครัวการบิน ธุรกิจอาหารแฟรนไชส์ และธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่

โดยเราให้บริการตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การบริหารคลังสินค้า ไปจนถึงการขนส่งวัตถุดิบถึงหน้าโรงงานผลิตอย่างตรงตามความต้องการ (Right Product) ตรงตามเวลา (Right Time) และสามารถควบคุมต้นทุนได้ (Right Cost) เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Just In Time เข้ากับการทำงานจริงในสายการผลิตได้

 

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง

Call: 02-328-6638

Line Official: @cogistics

Facebook: Cogistics Co., Ltd.

Email: salesorder@cogistics.co.th

แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา Cogistics เพื่อนคู่คิดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร