การบริหารจัดการต้นทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าและคลังวัตถุดิบที่ใช้ผลิต ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงและส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินสด ดังนั้นจึงผู้ประกอบการหลาย ๆ ที่จึงมีการนำเอากลยุทธ์และแนวคิดมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งมีหนึ่งแนวคิดที่เป็นที่รู้จักนั่นคือ “ระบบ Just In Time (JIT)” หรือที่เรียกว่า “ระบบทันเวลาพอดี” ซึ่งเป็นระบบการจัดการสินค้าคงคลัง โดยมีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้นการผลิตและส่งมอบสินค้าในเวลาที่ต้องการและปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อเป้าหมายสำคัญในการควบคุมวัสดุคงคลังให้เหลือน้อยที่สุด ลดสินค้าคงค้างในสต็อก และลดความสูญเปล่าหรือของเสียในกระบวนการผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย
Just In Time (JIT) หรือระบบทันเวลาพอดี คือ แนวคิดการบริหารจัดการการผลิตและคลังสินค้าที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าหรือการจัดหาวัตถุดิบในปริมาณที่เหมาะสม ตรงตามเวลา และตามความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคหรือตามแผนการผลิตที่กำหนดไว้ เพื่อลดความสูญเปล่า (Waste) ทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ลดการจัดเก็บสต็อกที่เกินความจำเป็นหรือลดปริมาณสินค้าคงคลังให้เหลือน้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์
โดยแนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตแบบสายพาน ก่อนจะแพร่หลายสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้านั่นเอง
เป้าหมายของระบบ Just In Time คือ การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต โดยการควบคุมคลังสินค้าให้เหลือน้อยที่สุดหรือให้เท่ากับศูนย์ (Zero Inventory) เพื่อลดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต รวมถึงลดต้นทุนในการสต็อกสินค้า และมุ่งเน้นการกำจัดความสูญเปล่าในการผลิต (7 Wastes of Lean) ได้แก่
การนำระบบ Just In Time (JIT) มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่วนใหญ่วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผักผลไม้ หรืออาหารแปรรูปที่มีอายุการเก็บรักษาจำกัด ซึ่งหากเก็บไว้นานเกินไปย่อมทำให้เสื่อมสภาพและหมดอายุก่อนนำมาใช้ในการผลิตสินค้าจนเกิดของเสียและต้นทุนที่มากขึ้นตามมา
ดังนั้นการนำระบบทันเวลาพอดี (Just In Time) มาใช้จึงมีความสำคัญที่ช่วยให้วัตถุดิบที่จัดหามาใช้ “เท่าที่จำเป็น” และ “ทันเวลาที่ต้องใช้” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านคลังวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังช่วยกำจัดความสูญเปล่าและลดการเก็บสต็อกสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็นซึ่งเป็นต้นทุนที่ธุรกิจต้องแบกรับ รวมถึงส่งผลโดยตรงต่อสินค้าที่ได้คุณภาพและความสดใหม่ที่ส่งต่อไปยังผู้บริโภค
เพราะฉะนั้นแล้วธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารที่นำระบบ JIT มาประยุกต์ใช้จึงเริ่มจากการปรับการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค โดยการนำข้อมูลยอดขายหรือคำสั่งซื้อในอดีตและคาดการณ์ในอนาคตมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดปริมาณวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละรอบ เพื่อให้โรงงานผลิตอาหารสามารถผลิตสินค้าได้ตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ และลดการผลิตสินค้าที่มากเกินความจำเป็นนั่นเอง
ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการนำระบบ Just In Time มาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจเท่านั้น แต่รวมถึงช่วยลดของเสีย (Waste Reduction) และมีส่วนช่วยในการรักษามาตรฐานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาจากการได้รับวัตถุดิบสดใหม่เมื่อต้องการผลิต และในขณะเดียวกันก็ช่วยลดโอกาสที่ผลผลิตจะเน่าเสียจากการเก็บไว้นานเกินไปในคลังสินค้าอีกด้วย
เมื่อพูดถึงการประยุกต์ใช้ระบบ Just In Time (JIT) ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร สิ่งสำคัญที่ธุรกิจไม่อาจละเลยได้คือการมีพันธมิตรด้าน “Supply Chain (ห่วงโซ่อุปทาน)” ที่เข้าใจและเชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบเป็นอย่างดีในการบริหารจัดการวัตถุดิบให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และส่งมอบสู่โรงงานอย่างตรงเวลา
“Cogistics” เราคือผู้เชี่ยวชาญผู้ให้บริการด้าน Supply Chain Management สำหรับการจัดหาวัตถุดิบประเภทผักและผลไม้มากกว่า 100 ชนิดที่ใช้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมอาหาร สำหรับโรงงานผลิตอาหาร ครัวการบิน ธุรกิจอาหารแฟรนไชส์ และธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่
โดยเราให้บริการตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การบริหารคลังสินค้า ไปจนถึงการขนส่งวัตถุดิบถึงหน้าโรงงานผลิตอย่างตรงตามความต้องการ (Right Product) ตรงตามเวลา (Right Time) และสามารถควบคุมต้นทุนได้ (Right Cost) เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Just In Time เข้ากับการทำงานจริงในสายการผลิตได้
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง
Call: 02-328-6638
Line Official: @cogistics
Facebook: Cogistics Co., Ltd.
Email: salesorder@cogistics.co.th
แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา Cogistics เพื่อนคู่คิดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร